14/11/59

โนวัค โยโควิช นักเทนนิสแห่งเซอร์เบีย


โนวัค โยโควิช เกิดวันที่ 22 พฤษภาคม 1987 นักเทนนิสชาวเซอร์เบีย ปัจจุบันรั้งตำแหน่งมือวางอันดับหนึ่งของโลก ได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในนักเทนนิสที่ยอดเยี่ยมที่สุดของโลกตลอดกาล

โยโควิช คว้าแชมป์แกรนด์สแลมประเภทชายเดี่ยว 8 ครั้ง ยึดอันดับหนึ่งของโลกมาเป็นเวลานานกว่า 135 สัปดาห์ เป็นนักเทนนิสชาวเซอร์เบียรายแรกที่ได้แชมแกรนด์สแลมมากกว่าหนึ่่งครั้งในปีเดียว และเป็นนักเทนนิสชาวเซอร์เบียคนแรกที่รั้งอันดับหนึ่งของโลกมากกว่า 100 สัปดาห์

เส้นทางในอาชีพนักเทนนิส

2006 : แชมป์ เอทีพี แรก
โยโควิช เทิร์นโปรในปี 2003 กลายเป็นหนึ่งในผู้เล่นอันดับท็อป 40 ของโลก หลังจากทะลุเข้าถึงรอบก่อนรองชนะเลิศครั้งแรก ในศึกเฟรนช์ โอเพ่น ปี 2006 และยังพาตัวเองไปถึงรอบ 4 ของรายการวิมเบิลดันในปีเดียวกัน

3 สัปดาห์หลังจากวิมเบิลดัน โยโควิชคว้าแชมป์เอทีพีครั้งแรกในรายการ ดัตช์ โอเพ่น ที่เอเมอร์สฟอร์ท โดยเอาชนะ นิโคลัส มาสซู ในรอบชิงชนะเลิศแบบไม่เสียเลยแม้แต่เซ็ตเดียว และเอาชนะรายการที่สองของเส้นทางอาชีพในศึก โมเซลล์ โอเพ่น ที่ เมตซ์ ไต่ขึ้นไปอันดับท็อป 20 เป็นครั้งแรก

2007 : ทะลุถึงอันดับท็อป 10 ของโลก และเข้ารอบชิงเมเจอร์ครั้งแรก

โยโควิช เริ่มต้นปี 2007 ด้วยการเอาชนะ คริส กุซซิโอเน่ ในรอบรองชนะเลิศรายการบริสเบน อินเตอร์เนชั่นแนล ก่อนไปแพ้ในศึกออกเตรเลี่ยน โอเพ่น รอบ 4 ให้กับแชมป์ในตอนท้ายอย่าง โรเจอร์ เฟเดอเรอร์ 3 เซ็ตรวด
จากฟอร์มการเล่นของเขาในรายการมาสเตอร์ส ซีรี่ส์ที่ อินเดียน เวลล์ส และ คีย บิสเคย์น ที่ได้รองแชมป์ และแชมป์ตามลำดับ ทำให้เขาพุ่งขึ้นไปอยู่ในอันดับท็อป 10 ของโลก โยโควิช แพ้ที่อินเดียน เวลล์ส ในรอบชิงชนะเลิศให้กับ ราฟาเอล นาดาล แต่ก็ไปแก้แค้นคืนได้ที่ คีย์ บิสเคย์น ในรอบก่อนรองชนะเลิศ ก่อนไปคว่ำ กีเญอร์โม่ คานาส ในรอบชิงชนะเลิศ คว้าแชมป์ไปได้ในท้ายที่สุด

2008 : แชมป์เมเจอร์ครั้งแรก และเหรียญทองแดงโอลิมปิค

โยโควิช ลงเล่นโอลิมปิคครั้งแรกในปี 2008 เขาและเนนัด ซิมอนยิช จับคู่ลงแข่งประเภทชายคู่ แต่ก็ตกรอบแรกโดยน้ำมือของคู่หูชาวเช็ค มาร์ติน แดมม์ และ พาเวล วิซเนอร์ ในส่วนของประเภทชายเดียว โยโควิชแพ้ในรอบรองชนะเลิศให้กับ ราฟาเอล นาดาล จากนั้นก็ไปเอาชนะ เจมส์ เบลค ผู้ที่แพ้จากรอบรองชนะเลิศอีกคู่หนึ่ง คว้าเหรียญทองแดงโอลิมปิคไปครอง

หลังจากตระเวนเล่นหลายทัวร์นาเม้นต์ทั่วโลก โยโควิชเข้าร่วมศึก มาสเตอร์ส คัพ ส่งท้ายปีที่เซี่ยงไฮ้ ในรอบแรกแบบพบกันหมดเขาปราบ ฮวน มาร์ติน เดล ปอร์โต้ 3 เซ็ตรวด จากนั้นก็เอาชนะ นิโคลาย ดาวีเดนโก้ สามเซ็ตรวดเช่นกัน ก่อนแพ้ให้กับซองก้าในรอบสุดท้าย แต่เขาก็ได้เข้าไปเล่นในรอบรองชนะเลิศ เอาชนะ กิลล์ส ซิมง เข้าไปชิงกับ นิโคลาย ดาวีเดนโก้ คว้าแชมป์มาสเตอร์ส คัพ ได้ในท้ายที่สุด

2010 : คว้าแชมป์เดวิสคัพ และอันดับสองยูเอส โอเพ่น

ในศึกยูเอส โอเพ่น ปี 2010 โยโควิชเกือบต้องแพ้เกมแรกให้กับ วิคเตอร์ ทรอยซ์กี้ แต่จากนั้นเขาก็เก็บชัยต่อเนื่องจาก ฟิลิปป์ เพ็ตซ์เนอร์, เจมส์ เบลค, มาร์ดี้ ฟิช และ กาเอล มงฟิลส์ สามเซ็ตรวดทุกคน ทะลุเข้าสู่รอบรองชนะเลิศสี่ปีติดต่อกัน โดยเอาชนะ โรเจอร์ เฟเดอเรอร์ 5 เซ็ต เป็นการเก็บชนะครั้งแรกเหนือเฟเดอเรอร์ หลังจากพบกันมาถึง 4 ครั้งในรายการนี้ แต่สุดท้ายโยโควิชก็เข้าไปพ่ายนาดาลในรอบชิงชนะเลิศ ซึ่งเป็นการคว้าแชมป์แกรนด์สแลมครั้งแรกของนาดาลอีกด้วย

ในปีเดียวกัน โยโควิชพาทีมชาติเซอร์เบียเข้ารอบสุดท้ายศึกเดวิส คัพ เอาชนะทีมชาติโครเอเชีย ตามด้วยทีมชาติเช็ค ก่อนเข้าชิงไปพบกับทีมชาติฝรั่งเศสที่มี กิลล์ส ซิมง และกาเอล มงฟิลส์ ก่อนเอาชนะคว้าแชมป์เดวิส คัพ ครั้งแรกให้ทีมชาติเซอร์เบียได้สำเร็จ ที่เมืองเบลเกรด
2011 : ทริปเปิ้ลแกรนด์สแลม พร้อมก้าวสู่อันดับหนึ่งของโลก

โยโควิชคว้าแชมป์ได้ถึง 10 รายการในปี 2011 รวมถึง 3 รายการแกรนด์สแลม ออสเตรเลี่ยน โอเพ่น, วิมเบิลดัน และยูเอส โอเพ่น แถมทำสถิติเอาชนะเงินรางวัลในซีซั่นเดียวมากที่สุดของ เอทีพี เวิร์ลด์ ทัวร์ ที่ 12 ล้านดอลลาร์ โยโควิชจบซีซั่นด้วยสถิติ ชนะ 70 แพ้ 6 และทะยานขึ้นสู่อันดับ 1 ของโลกในช่วงสิ้นปี แต่หลังจบซีซั่นอันดับของเขาก็ตกลง เนื่องจากประสบปัญหาอาการบาดเจ็บที่หลัง

พีท แซมพราส เคยกล่าวไว้ว่า ซีซั่น 2011 ของโยโควิชเป็นอะไรที่ดีที่สุดที่เท่าที่เคยเห็นมาในชีวิต โดยขนานนามมันว่า "หนึ่งในความสำเร็จที่ดีที่สุดในวงการกีฬาทุกประเภท" บอริส เบ็คเกอร์ บอกว่า "หนึ่งในปีที่ดีที่สุดจริงๆตลอดกาลของวงการเทนนิส" พร้อมเพิ่มเติมว่า "อาจไม่ใช่สถิติที่ดีที่สุด แต่เขาเอาชนะทั้งเฟเดอเรอร์ เอาชนะนาดาล เขาเอาชนะทุกคนที่เข้ามาท้าทายเขาในรายการใหญ่ๆของโลก" และสุดท้าย ราฟาเอล นาดาล ที่พ่ายให้กับโยโควิชรอบชิงชนะเลิศ 6 รายการ 3 พื้นสนาม นิยามประสิทธิภาพของโยโควิชไว้ว่า "น่าจะเป็นระดับสูงสุดของวงการเทนนิสเท่าที่ผมเคยเห็นมา"

2012 : กลับมาทวงบัลลังก์มือ 1 โลก
ในศึกยูเอส โอเพ่น วันที่ 9 กันยายน โยโควิชเอาชนะ ดาบิด เฟร์เรร์ ทะลุเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศเป็นครั้งที่ 3 ติดต่อกัน ก่อนไปพ่ายให้กับ แอนดี้ เมอร์เรย์ แบบสุดมันส์ 5 เซ็ต จากนั้นเขาก็เดินทางไปป้องกันแชมป์ ไชน่า โอเพ่น คว่ำ โจ วิลเฟรด ซองก้า 3 เซ็ตรวด สัปดาห์ต่อมาก็ได้โอกาสล้างแค้น เมอร์เรย์ เอาชนะได้ในศึก เซี่ยงไฮ้ มาสเตอร์ส คว้าแชมป์ไปครองในท้ายที่สุด และจากการที่เฟเดอเรอร์ ถอนตัวในรายการปารีส มาสเตอร์ส โยโควิชก็การันตีการกลับคืนสู่บังลังก์มือ 1 ของโลกอีกครั้ง ในวันที่ 12 พฤศจิกายน 2012 เขาคว้าแชมป์เอทีพี เวิร์ลด์ ทัวร์ โดยเอาชนะเฟเดอเรอร์ได้ในรอบชิงชนะเลิศ ก่อนคว้าแชมป์ชายเดี่ยว ไอทีเอฟ เวิร์ลด์ แชมเปี้ยน 2012 จากสมาคมเทนนิสนานาชาติไปครอง

2013 : คว้าแชมป์แกรนด์สแลมครั้งที่ 6

โยโควิชเริ่มต้นปี 2013 ด้วยการเอาชนะ แอนดี้ เมอร์เรย์ ในรอบชิงชนะเลิศออสเตรเลียน โอเพ่น 2013 ทำสถิติชนะรายการนี้สามครั้งติดต่อกัน และเป็นการคว้าแชมป์แกรนด์สแลมครั้งที่ 6 ในเส้นทางอาชีพของเขา สัปดาห์ต่อมาเขาเป็นส่วนหนึ่งของทีมชาติเซอร์เบีย ทำศึกเดวิส คัพกับทีมชาติเบลเยียม เอาชนะ โอลิวิเยร์ โรชัส 3 เซ็ตรวด ทำคะแนนให้ทีมชาติเซอร์เบียขึ้นนำ 2-0

2014: ครองแชมป์วิมเบิลดันครั้งที่ 2

โยโควิช ทะลุเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ เฟรนช์ โอเพ่น 2014 เสียเพียง 2 เซต จาก 6 แมตช์ แต่สุดท้ายก็ต้องพ่ายให้กับนาดาลในเซตที่ 4 รอบชิงชนะเลิศ เป็นการแพ้ครั้งแรกของ โยโควิช จากการพบกัน 5 ครั้งหลังสุดของทั้งคู่ และในศึกวิมเบิลดัน 2014 โยโควิชเป็นฝ่ายเอาชนะ โรเจอร์ เฟเดอเรอร์ ในรอบชิงชนะเลิศ 5 เซ็ต กลับไปเป็นมือหนึ่งของโลกแทนที่ ราฟาเอล นาดาล

ในเวิร์ลด์ ทัวร์ รอบสุดท้าย โยโควิชทำสถิติชนะในการแข่งขันแบบพบกันหมด 3 ครั้ง โดยเสียเพียงแค่ 9 เกมเท่านั้น สุดท้ายก็คว้าแชมป์ไปครองเนื่องจาก เฟเดอเรอร์ ถอนตัวก่อนการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศ เป็นแชมป์รายการที่ 7 ในปีนี้ และเป็นแชมป์เวิร์ลด์ ทัวร์ ครั้งที่ 4 ของเขา ทำให้เขารักษาอันดับมือ 1 ของโลกไว้ได้ก่อนจบซีซั่น

2015 : แชมป์ออสเตรเลียน โอเพ่น สมัยที่ 5

โยโควิชเริ่มต้นซีซั่นด้วยรายการ กาตาร์ โอเพ่น ที่ โดฮา ที่ๆเขาเอาชนะสองรอบแรกโดยเสียเพียง 6 เกมเท่านั้น อย่างไรก็ตามเขาแพ้ให้กับ อิโว คาร์โลวิช ในรอบก่อนรองชนะเลิศ จากนั้นก็เดินทางไปแข่งออสเตรเลียน โอเพ่น ที่เอาชนะ 5 รอบแรกโดยไม่เสียเลยแม้แต่เซ็ตเดียว รอบรองชนะเลิศต้องทำศึกกับ สแตน วาวริงก้า ที่เอาชนะเขาได้ในปีก่อน โยโควิชโดนตีเสมอหลังจากขึ้นนำได้ 2 ครั้ง ก่อนจะกลับมาโชว์ฟอร์มโหดในเซ็ตสุดท้ายเอาชนะไปได้ในท้ายที่สุด เข้าไปชิงเป็นครั้งที่สามกับ แอนดี้ เมอร์เรย์ หลังจากต้องขับเคี่ยวกันถึงช่วงไทเบรคใน 2 เซตแรกของเขา โยโควิชก็หาฟอร์มเก่งเจอหลังเสิร์ฟพลาดหลายครั้งในช่วงเริ่มเซตที่ 3 เก็บชัยได้ในเซตที่ 4 คว้าแชมป์ไปครองแบบสุดมันส์

นิโค รอสเบิร์ก แชมป์โลกรถสูตรหนึ่ง


ข้อมูลส่วนตัว
ชื่อเต็ม : นิโค รอสเบิร์ก
วันเกิด : 27 มิถุนาบน 1985
สถานที่เกิด : วีสบาเดนเยอรมนี
สัญชาติ : ฟินแลนด์-เยอรมนี
สังกัด : บีเอ็มดับบลิว-วิลเลี่ยมส์ (BMW-Williams)
แข่งขันครั้งแรก : บาห์เรนกรังปรีซ์ ค.ศ 2006
นิโค รอสเบิร์ก (Nico Rosbergเกิดวันที่ 27 มิถุนายน ค.ศ. 1985 ที่เมืองวีสบาเดน (Wiesbaden) ประเทศเยอรมนี) เป็นนักแข่งรถสูตรหนึ่ง (Formula1) ชาวเยอรมันสังกัดทีมวิลเลียมส์ (Williams F1) นิโคเป็นดาวรุ่งดวงใหม่ของวงการ เขาเป็นลูกชายของเคเครอสเบิร์ก (KeKe Rosbergอดีตแชมป์โลกรถสูตรหนึ่งปีค.ศ. 1982 ชาวฟินแลนด์ นิโคถือสองสัญชาติ แต่เลือกลงขับภายใต้ธงชาติเยอรมัน ซึ่งเป็นสัญชาติของแม่ของเขา เนื่องจากที่บ้านเขาใช้ภาษาเยอรมัน และเขาพูดภาษาฟินนิชไม่ได้
ชีวิตการแข่งรถ
ก่อนเข้าสู่วงการรถสูตรหนึ่ง
 

นาฬิกาโอริส รุ่นนิโค รอสเบิร์ก และลายเซ็นแจกแฟนๆรอสเบิร์กน้อยชอบนั่งตักพ่อหัดขับรถคาร์ทมาตั้งแต่เด็กๆ เคเค รอสเบิร์กเองก็ตามใจ และคอยสนับสนุนลูกชายเสมอในการแข่งรถ นิโคเริ่มต้นแข่งรถคาร์ทตั้งแต่อายุได้เพียง 11 ขวบ และได้รางวัลจากการแข่งในหลายประเทศ รวมทั้งในระดับทวีปยุโรปและอเมริกา
ในปีค.ศ. 2002 เขาเข้าแข่งรายการฟอร์มูล่าบีเอ็มดับบลิว (Formula BMW) ให้กับทีมของพ่อเขาเอง และคว้าแชมป์ปีนั้นมาได้อย่างง่ายดายด้วยการชนะถึง สนาม เขาจึงได้รับโอกาสให้ขับทดสอบกับทีมบีเอ็มดับบลิว-วิลเลียมส์ (BMW-Williams) เมื่อวัย 17 ปี เดือน เป็นเด็กหนุ่มอายุน้อยที่สุดเท่าที่เคยมีมาที่ได้ขับรถสูตรหนึ่ง นิโคฉายแววให้เห็นตั้งแต่ตอนนั้น เขาทำแบบทดสอบของทีมวิลเลียมส์ได้คะแนนสูงกว่าที่นักขับทุกคนเคยทำมา หลังการขับทดสอบที่คาตาลุนญ่าเซอร์กิต (Circuit de Catalunyaเสร็จลง เด็กหนุ่มไฟแรงคนนี้ก็ตั้งใจว่าจะเป็นนักแข่งรถสูตรหนึ่งให้ได้
นิโคย้ายมาแข่งในรายการฟอร์มูล่าทรี ยูโรซีรีส์ (Formula3 Euroseriesอีกสองปี และทำผลงานได้ดี ในปีค.ศ. 2005 ทีมบีเอ็มดับบลิว-วิลเลียมส์จึงเซ็นสัญญาให้เขาเป็นนักขับทดสอบของทีม ปีเดียวกันนั้นเอง นิโคลงแข่งรายการจีพีทู (GP2) ซึ่งเพิ่งมีขึ้น และเขาก็คว้าแชมป์ เอาชนะเพื่อนนักแข่งอย่างเฮย์กิ โควาไลเนน (Heikki Kovalainenและสกอตต์ สปีด (Scott Speed) มาได้ นับเป็นแชมป์คนแรกของรายการนี้
แข่งรถสูตรหนึ่ง
 

นิโค รอสเบิร์กในรถวิลเลียมส์ FW28 ที่มาเลเซียนกรังด์ปรีซ์ค.ศ. 2006หลังจากได้แชมป์จีพีทูมาหมาดๆ เดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2005 แฟรงค์ วิลเลียมส์ (Frank Williams) ก็คว้าตัวนิโคเซ็นสัญญาฉบับใหม่ให้เป็นนักแข่งรถสูตรหนึ่งของทีมสำหรับปี 2006 ทีมเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้นิโคตัดสินใจขับให้วิลเลียมส์ทันที เขารู้จักทีมงานหลายๆคนแล้วจากตอนที่เป็นนักขับทดสอบ และความสำเร็จของพ่อเขากับทีมวิลเลียมส์ ในปีค.ศ. 1982 ก้อยังเป็นที่จดจำจนถึงทุกวันนี้
ในการลงแข่งรถสูตรหนึ่งสนามแรกที่บาห์เรนกรังด์ปรีซ์ นิโคไม่เพียงแต่สามารถเก็บคะแนนได้โดยเข้าเส้นชัยเป็นที่ ทั้งที่ต้องเข้าพิทเพื่อเปลี่ยนจมูกรถตั้งแต่รอบแรก หากเขายังสร้างสถิติเป็นนักขับอายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ ที่ทำเวลาต่อรอบดีที่สุดของการแข่งขัน ด้วยอายุเพียง 20 ปี เดือน 13 วัน
นิโคควอลิฟายได้อันดับ ในสนามต่อมาที่มาเลเซียนกรังด์ปรีซ์แต่ก็ต้องพลาดหวัง ออกจากการแข่งขันไปในรอบที่ เพราะเครื่องยนต์พัง ที่ยูโรเปียนกรังด์ปรีซ์ นิโคต้องออกสตาร์ทหลังสุดเนื่องจากเปลี่ยนเครื่องยนต์ แต่เขาก็สามารถเข้าเส้นชัยเป็นที่ เก็บแต้มได้อีก คะแนน ในสนามที่เหลือของฤดูกาล เขาทำผลงานได้ไม่ดีนัก และมีปัญหากับเครื่องยนต์ทำให้ไม่จบการแข่งขันบ่อยๆ จึงจบฤดูกาลโดยได้เพียงที่ 17 มี คะแนน
ค.ศ. 2007 นิโคยังลงแข่งในนามของทีมวิลเลียมส์ ซึ่งเปลี่ยนเครื่องยนต์ใหม่มาใช้ของโตโยต้าแทนเครื่องคอสเวิร์ธเดิม และได้เพื่อนร่วมทีมคนใหม่เช่นกันคืออเล็กซานเดอร์ ววร์ซ(Alexander Wurzซึ่งมาแทนที่มาร์ค เว็บเบอร์ (Mark Webber) ที่ย้ายไปขับให้กับทีมเรดบูล (Red Bull Racing)

ฟาน เพอร์ซี ฟลายอิ้งดัตช์แมน


ฟาน เพอร์ซี เกิดในครอบครัวของศิลปิน โดยแม่ของเขาเป็นจิตรกร ขณะที่ พ่อเป็นนักประติมากรรม
ในขณะที่ลูกชายมาเอาดีทางการเป็นศิลปินลูกหนังแทน โดยเขาได้เริ่มต้นเส้นทางสายลูกหนังกับทีมเยาวชนเอสบีวี เอ็กเซลซิเออร์
ขณะที่ อายุได้ 14 ปี

อย่างไรก็ตาม หลังจากที่มีปัญหาไม่ลงรอยกับสตาฟฟ์โค้ช และแม่ของเขา ฟาน เพอร์ซี ก็ได้ย้ายไปอยู่กับเฟเยนูร์ด แทน
ก่อนที่จะพัฒนาอย่างก้าวกระโดด จนถูกเรียกขึ้นมาติดทีมชุดใหญ่อย่างรวดเร็ว ด้วยอายุเพียง 17 ปี อีกทั้งยังโชว์ผลงานสุดแจ่ม
กระทั่งคว้าตำแหน่งดาวรุ่งยอดเยี่ยมลีก ดัตช์ ประจำปี 2001-02 จากนั้นต้นสังกัดไม่รอช้า จับดาวเตะผอมบางเซ็นสัญญาเป็นนักเตะอาชีพเป็นเวลาสามปีครึ่ง

ทว่าหัวหอกดาวรุ่งก็มีความขัดแย้งกับ เบิร์ต ฟาน มาร์ไวค์ กุนซือของทีมในขณะนั้น จนถูดลดชั้นไปเล่นในทีมสำรอง
“พฤติกรรมที่รับไม่ได้ของเขา บังคับให้ผมต้องลดชั้น โรบิน ไปอยู่กับทีมสำรอง และไม่มีความเป็นไปได้ที่เขาจะกลับมาอยู่ในทีมชุดใหญ่อีกแล้ว ในระหว่างที่ผมเป็นนายใหญ่ของเฟเยนูร์ด”
คำพูดของโค้ชเบิร์ตดังกล่าว จึงเป็นที่มาของการแตกหักในที่สุด


“โรบิน” ตกลงเซ็นสัญญา 4 ปีกับอาร์เซน่อล เมื่อวันที่ 17 พ.ค. 2004 ด้วยค่าตัวเพียง 2.75 ล้านปอนด์ (ประมาณ 130 ล้านบาท) จากเดิมที่คาดว่า
จะอยู่ราว 5 ล้านปอนด์ (250 ล้านบาท) ก่อนที่จะได้ประเดิมสนามด้วยการเป็นตัวสำรองในเกมคอมมิวนิตี้ ชิลด์ ซึ่ง “ปืนใหญ่” คว้าชัยเหนือแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 3-1 ในเดือนส.ค. ปีเดียวกัน
ในช่วงแรก ฟาน เพอร์ซี ต้องลงเล่นเป็นตัวสำรองเป็นส่วนใหญ่ แถมยังถูกโยกไปยืนปีกซ้ายซะเยอะ เพราะช่วงนั้น “เดอะ กันเนอร์ส” ใช้งาน เธียร์รี่ อองรี เป็นหน้าเป้า และยังมี
โฆเซ่ อันโตนิโอ เรเยส อีกตัว ทำให้เจ้าตัวเข้าๆออกๆ ในทีมชุดใหญ่

อย่างไรก็ดีในช่วงต้นซีซั่น 2005-06 หัวหอกชาวดัตช์ เริ่มปรับตัวเข้ากับทีมได้ดีขึ้นเรื่อยๆ จนได้รางวัลผู้เล่นดาวรุ่งยอดเยี่ยมประจำเดือนพฤศจิกายน หลังจากซัดไป 8 ลูก แต่ว่า
อดีตแข้งเฟเยนูร์ด เจออาการบาดเจ็บถามหาในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2006 จนหายหน้าไปนานหลายเดือนก่อนจะกลับมามีชื่อเป็นตัวสำรองในเกมนัดชิงยูซีแอล ซึ่งพบกับ บาร์ซ่า แต่ก็ไม่ได้สัมผัสเกมแต่อย่างใด

ระหว่างซีซั่น 2007-08 อองรี ดาวยิงอมตะ ตัดสินใจย้ายไปร่วมทัพบาร์เซโลน่า ส่งผลให้ ฟาน เพอร์ซี่ กลายเป็นดาวยิงตัวหลักของอาร์เซน่อล แต่ช่วงเวลาดังกล่าว อาการบาดเจ็บเป็นปัญหาใหญ่
ของเจ้าตัว เป็นเหตุให้ “ฟลายอิ้งดัตช์แมน” ไม่อาจเค้นศักยภาพออกมาได้อย่างเต็มที่

ฤดูกาล 2008-09 ถือเป็นช่วงที่ ฟาน เพอร์ซี่ ท็อปฟอร์มที่สุด โดยเขาทำได้ถึง 20 ประตูในทุกถ้วย และนั่นทำให้เขาได้รับการโหวตให้เป็นนักเตะยอดเยี่ยมแห่งฤดูกาลจากการลง คะแนนของแฟนๆ
ผ่านเว็ปไซต์สโมสร ทว่าในขณะที่ฟอร์มกำลังรุ่งๆ อยู่นั้น ฟาน เพอร์ซี ก็โชคร้ายข้อเท้าหักระหว่างการเล่นให้ทีมชาติ จนทำให้ต้องพักยาวถึง 5 เดือน ก่อนที่จะกลับมาลงสนามได้ในช่วงเดือนเม.ย. 2010 ก่อนที่
จะจบซีซั่นด้วยสถิติทำ 9 ประตูจาก 16 นัดในพรีเมียร์ลีก

หลังการย้ายไปอยู่บาร์ซ่าของ ฟาเบรกาส ในช่วงซัมเมอร์ปี 2011 เวนเกอร์ ก็ได้แต่งตั้งให้ ฟาน เพอร์ซี เป็นกัปตันทีมคนใหม่อย่างเป็นทางการ โดยเขาต้องรับบทหนักในการรับภาระผู้นำในยามที่ไม่มี
สองตัวเก่งอย่าง ฟาเบรกาส และ ซาเมียร์ นาสรี่ ที่ย้ายไปอยู่แมนเชสเตอร์ ซิตี้

ประวัติ โรบิน ฟาน เพอร์ซีในส่วนของทีมชาตินั้น ฟาน เพอร์ซี ติดทีมชุดใหญ่ของฮอลแลนด์เป็นครั้งแรก ในเกมคัดบอลโลก 2006 กับโรมาเนีย ก่อนที่จะทำประตูแรกได้ในเกมที่พบกับ ฟินแลนด์
นัดต่อมาดาวเตะปืนใหญ่ ติดทีมกังหันสีส้มมาโดยตลอดไม่ว่าจะเป็นฟุตบอลโลก 2006 รอบสุดท้าย, ยูโร 2008 และศึกฟุตบอลโลก 2010 ซึ่งฮอลแลนด์ ผ่านเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศก่อนที่จะไปพ่าย สเปน 0-1
ฤดูกาลล่าสุด (2011-12) ถือเป็นปีทองของ ฟาน เพอร์ซี่ หลังจากกดไปถึง 30 ประตูจากการลงสนาม 38 นัด นอกจากนี้ ปัญหาอาการบาดเจ็บที่เคยหลอกหลอนเจ้าตัวก็ถูกพับเก็บใส่ลิ้นชักเป็นที่เรียบร้อย
ก่อนจะช่วยต้นสังกัดคว้าอันดับสามในพีเมียร์ลีก ส่งผลให้กองหน้าทีมชาติฮอลแลนด์ กลายเป็นหนึ่งในแปดดาวซัลโวตลอดกาลของสโมสรอาร์เซน่อล ด้วยการกดไปทั้งสิ้น 132 ประตูจากการลงสนาม 277 นัด
ทั้งนี้บทบาทของ ฟาน เพอร์ซี่ กับไอ้ปืนใหญ่ถึงทางแยก ภายหลังที่เจ้าตัวกำลังจะย้ายไปสวมยูนิฟอร์ม “ปิศาจแดง” ด้วยค่าตัวราว 24 ล้านปอนด์ (ประมาร 1200 ล้านบาท)

ฤดูกาล2012-2013
โรบิน ฟาน เพอร์ซี่ เป็นดาวซัลโวของพรีเมียร์ลีกในฤดูกาลที่ผ่านมา จึงได้ย้ายไปร่วมกับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด และได้แชมป์พรีเมียร์ลีกเป็นครั้งแรก
ฤดูกาล2014-2015
ในฤดูกาลนี้ ฟาน เพอร์ซี่ มีอาการบาดเจ็บรบกวนตลอดกอรปกับอายุมากที่ขึ้น ทำให้ประสิทธิภาพการเล่นถดถอยลง และเมื่อสิ้นสุดฤดูกาลจึงได้ย้ายไปเฟแนร์บาห์เช
เช่นเดียวกับ นานี เพื่อนร่วมสโมสรที่ได้ย้ายไปก่อนหน้านั้น
ฟาน เพอร์ซี่ ได้ย้ายมาเฟแนร์บาห์เชด้วยค่าตัวประมาณ 4.7 ล้านปอนด์ (ประมาณ 235 ล้านบาท) และสัญญาเป็นระยะเวลา 3 ปี

13/11/59

มาร์กซิอัล ไม่ได้ มาเที่ยวที่ถิ่นปีศาจ



ประวัติ

อองโตนี่ มาร์กซิอัล (เกิด 5 ธันวาคม 1995) นักฟุตบอลอาชีพชาวฝรั่งเศส อดีตนักเตะ โอลิมปิก ลียง และ โมนาโก ก่อนที่จะย้ายมาเล่นในพรีเมียร์ลีกให้กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เขาติดธง "ตราไก่" ทุกรุ่นตั้งแต่ชุดยู-16 ไปจนถึงชุดยู-21


เส้นทางในอาชีพการค้าแข้ง
โอลิมปิก ลียง (2012-2013)
         มาร์กซิอัล เกิดในเมือง มาสซี่ และเข้าร่วมศูนย์ฝึกเยาวชนของ ซีโอ เลส อูลิส ในปี 2001 หลังจากนั้นด้วยวัยเพียง 14 ปีในปี 2009 เขาได้รับความสนใจจากแมวมองของ โอลิมปิก ลียง ก่อนจะดึงตัวไปฝึกซ้อมที่อคาเดมี่ในปีเดียวกัน 
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (2015-ปัจจุบัน)
         ในวันที่ กันยายน 2015 มาร์กซิอัล บรรลุข้อตกลงในการย้ายมาร่วมทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ด้วยค่าตัวทั้งสิ้น 36 ล้านปอนด์ (ประมาณ 1,975 ล้านบาท) และเมื่อรวมโบนัสต่าง ๆ อาจสูงถึง 58 ล้านปอนด์ (ประมาณ 3,182 ล้านบาท) ด้วยระยะเวลาสัญญา ปี ทำให้เขากลายเป็นสถิติการย้ายตัวเด็กดาวรุ่งที่แพงที่สุดในประวัติศาสตร์ของสโมสรและของโลก