ราอูล กอนซาเลซ บลังโก้ เด็กหนุ่มซึ่งเป็นชาวเมือง มาดริด โดยกำเนิด เริ่มต้นสร้างชื่อในโลกลูกหนังด้วยฝีเท้าของเขา
ด้วยการประเดิมศึกลา ลีกา สเปน ครั้งแรก กับ เรอัล มาดริด เป็นเกมที่ออกไปเยือน เรอัล ซาราโกซ่า เมื่อ 29 ตุลาคม 1994
ตอนนั้น ราอูล ใส่เสื้อหมายเลข 17 และจ่ายให้ อีวาน ซาโมราโน่ ยิงประตูตีไข่แตก ก่อนพ่ายเจ้าถิ่น 2-3 อย่างไรก็ตาม ฮอร์เก้ วัลดาโน่
กุนซือชาวอาร์เจนไตน์ ยังให้โอกาส ราอูล เป็นตัวจริงในนัดต่อมา และเจ้าหนูวัย 17 ปีตอบแทนด้วยการยิง 1 ประตู ช่วยให้ชนะ
แอตเลติโก มาดริด 4-2
นั่นคือประตูแรกในชีวิตการค้าแข้งกับทีมชุดใหญ่ เรอัล มาดริด และแมตช์แรกในสนาม ซานติอาโก้ เบร์นาเบว ของ ราอูล
ความจริง แอต. มาดริด คว้าเขามาจาก ซาน คริสโตบัล เด ลอส อันเคเลส สโมสรชานเมืองหลวง ตั้งแต่ปี 1990 แถมช่วยให้ "ตราหมี"
ครองแชมป์สเปนได้ด้วย แต่เมื่อ เฆซุส กิล ประธานสโมสร สั่งยุบทีมเยาวชน เพราะเรื่องการเงิน ทำให้ ราอูล ย้ายไป เรอัล มาดริด
โดยไต่เต้าตั้งแต่ทีมชุด ซี และ บี ก่อนเป็นนักเตะอายุน้อยสุดที่ประเดิมสนามกับชุดใหญ่ของสโมสร ด้วยสถิติ 17 ปี 124 วัน
ราอูลช่วยให้ "ราชันชุดขาว" ครองแชมป์ลา ลีกา ตั้งแต่ฤดูกาลแรก ทั้งๆหนึ่งปีก่อนหน้านั้นยังอยู่อันดับ 4 ส่วน บาร์เซโลน่า
แชมป์เก่า และคุมทัพโดย โยฮัน ครอยฟ์ ร่วงไปอยู่ที่ 4 แทน โดย ราอูล ยิงทั้งหมด 9 ประตู จากการลงสนาม 28 นัดในลีก
ต่อมา ราอูล กลายเป็นขวัญใจคนใหม่ของแฟนบอล เรอัล มาดริด โดยนำทีมคว้าแชมป์ลา ลีกา อีก 5 ครั้งในฤดูกาล
1996-97, 2000-01, 2002-03, 2006-07 และ 2007-08 ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ฤดูกาล 1997-98, 1999-2000 กับ 2001-02 รวมถึง
อินเตอร์คอนติเนนตัล คัพ ปี 1998 และ 2002
ราอูล รับช่วงเบอร์ 7 ต่อจาก ฮวน เอสไนเดร์ ในฤดูกาล 1996-97 และมันกลายเป็นสัญญลักษณ์ประจำตัวเขา จนกระทั่ง โรนัลโด้
มาสืบทอดแทนช่วงฤดูกาล 2010-11 เขายังเป็นกัปตันทีม "ราชันชุดขาว" แทน เฟร์นานโด เอียร์โร่ ตั้งแต่ปี 2003-10 แต่งงานกับ มาเม่น ซานซ์
รองอันดับ 1 ซูเปอร์โมเดล ออฟ เดอะ เวิลด์ ปี 1997 ซึ่งลูกชายคนแรกของพวกเขา ก็ตั้งชื่อตาม วัลดาโน่ อดีตกองหน้าของสโมสร และกุนซือ
ผู้ให้โอกาสเขาในทีมชุดใหญ่ ส่วนลูกชายอีก 2 คน ก็ตั้งชื่อตาม ฮูโก้ ซานเชซ กับ เอ็คตอร์ รียาล ดาวยิงระดับตำนานของ เรอัล มาดริด
ราอูล เริ่มเล่นให้ทีมชาติสเปน ครั้งแรกในปี 1996 ยิงได้ 44 ประตู มากที่สุดอันดับ 2 ในประวัติศาสตร์ จากการลงสนาม 102 นัด
ในช่วง 10 ปี เคยทำหน้าที่เป็นกัปตันทีมชาติตั้งแต่ปี 2002 นำทัพไปแข่งขันฟุตบอลโลก 3 สมัย (1998, 2002, 2006) และศึกชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป
อีก 2 ครั้ง (2000 กับ 2004) นัดสุดท้าของเขากับ สเปน คือเกมบุกชนะ ไอร์แลนด์เหนือ 3-2 ถึงเบลฟาสต์ โดยหลังจากคนที่ได้สวมปลอกแขนกัปตันแทน
ก็คือ อิเคร์ กาซียาส นายทวารเพื่อนร่วมทีม เรอัล มาดริด นั่นเอง
ราอูล อำลาถิ่น ซานติอาโก้ เบร์นาเบว โดยย้ายไปอยู่ เอฟเซ ชาลเก้ 04 แทนที่ เควิน คูรานี่ และเบอร์ 7 ในทีม "ราชันสีน้ำเงิน" ก็เป็นของ ราอูล อีก 3 ปี
หลังจากนั้นกระทั่งเจ้าตัวย้ายไป อัล ซาดด์ สโมสรกาตาร์ ช่วงค้าแข้งในเยอรมันนี้เขาไม่ใช่กองหน้าอีกแล้ว แต่ถอยลงไปเป็นมิดฟิลด์เชิงรุก และช่วยให้ต้นสังกัด
ได้แชมป์ เดเอฟเบ โพคาล และ เดเอฟแอล ซูเปอร์คัพ เมื่อปี 2011 ยิงได้ 40 ประตู ใน 98 เกม เป็นเจ้าของประตูยอดเยี่ยมแห่งปี 2011 กับ 2013
หลังจากนั้น ราอูล ไปเป็นกัปตันทีม อัล ซาดด์ ที่ได้แชมป์รายการแรกในรอบ 5 ปี ด้วยการครองแชมป์ลีกกาตาร์ เมื่อฤดูกาล 2012-13 โดยซัดได้ 9 ประตู
ใน 22 เกม หลังจากนั้นเขาประกาศจะแขวนสตั๊ดหลังจบฤดูกาล 2013-14 โดยปิดฉากกับ อัล ซาดด์ ด้วยการซิวแชมป์เอเมียร์ ออฟ กาตาร์ คัพ 2014 แต่ในที่สุด
นิวยอร์ก คอสมอส ก็เซ็นสัญญาให้ ราอูล ไปช่วยทำศึก นอร์ธ อเมริกัน ซอคเก้อร์ ลีก (เอ็นเอเอสแอล) ในปี 2015 โดยพ่วงตำแหน่งที่ปรึกษาทางเทคนิคประจำศูนย์เยาวชน
ของสโมสร และปัจจุบันก็ได้แขวนสตั๊ดเรียบร้อยแล้วในวัย 38 ปี
ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานซักแค่ไหนก็เชื่อว่าความทรงจำดีๆที่เขาเคยสร้างไว้ในยุโรป จะยังเป็นที่จดจำสำหรับแฟนบอลอยู่เสมอ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น